
เช้าวันนี้ ผมพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ร่วมสมัยทางการเมืองของประเทศไทย ที่อาจจะยิ่งใหญ่ที่สุดของประชาธิปไตยครึ่งใบไม่เต็มใบที่กำลังจะมีอายุ 75 ปีเต็ม ด้วยการนั่งรถผ่านเชิงสะพานพระปกเกล้าอันเป็นที่ตั้งของศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างน้อย ผมก็พอจะเล่าให้ลูก ๆ หลาน ๆ ฟังได้ว่า เช้าวันนั้น ผมเฉียดเข้าไปใกล้ประวัติศาสตร์มากแล้ว
ผมเคยนั่งคิดว่า ทำอย่างไรเราถึงจะปฏิรูปการเมืองไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมคิดไปถึงซีนาริโอที่น่าจะเป็นไปได้ทางหนึ่งคือ ถ้าเรามองว่าระบบมันดีอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่คน การโละทิ้งนักการเมืองไทยทิ้งเสียหมดแล้วล้างไพ่ใหม่หมดก็เป็นทางออกที่น่าจะลงตัว หนทางที่เป็นไปได้ก็คือไปวางระเบิดรัฐสภาขณะที่รัฐบาลกำลังแถลงนโยบายหรือกำลังถูกซักฟอกโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย
และเวลานั้นก็มาถึงแล้ว การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญโดยการยุบพรรคทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมาตรการขั้นเด็ดขาดโดยการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรมทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปีก็เปรียบเสมือนการวางระเบิดรัฐสภาโดยคนที่เกี่ยวข้องที่ถือว่ามีอำนาจและบทบาทต่อการเมืองไทยปัจจุบันทั้งหลายจะหมดสิทธิ์เล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี มันเกือบเหมือนการตายทั้งเป็นเลยทีเดียว นอกจากนี้ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง, สังคม และวัฒนธรรมของไทยครั้งใหญ่ในเรื่องที่ว่า ใครทำผิดก็ต้องได้รับผิด ไม่มีการรอมชอม ซึ่งจะทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
จริง ๆ แล้วถ้าคิดอย่างรอบคอบ มันก็ไม่ค่อยเหมือนการวางระเบิดเท่าไรนัก เพราะคนที่จะไม่โดนตัดสิทธิ์ก็ยังมีอีกมากหน้าหลายตา และทายาทอสูรทั้งหลายก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด อย่างน้อยการเมืองไทยจะอยู่ในภาวะอึมครึม การจะกินรวบละโมบโลบมากก็อาจจะหยุดไปชั่วคราว รอการตกตะกอนให้การเมืองเข้าสู่สมดุลและผลประโยชน์ลงตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่ในเวลานี้ผลประโยชน์ของประชาชนจะมีส่วนแบ่งสูงที่สุด
ผมพยายามคิดวิเคราะห์ทางออกหลาย ๆ ทางที่เป็นไปได้แล้ว นี่คือทางออกที่ดีที่สุด อาจจะเจ็บปวด แต่หายชะงัก การรักษาบางครั้งต้องอาศัยยาขม แต่เมื่อดื่มมันเข้าไปแล้ว มันหายได้จริง ๆ
ผมอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปเสียหน่อย แต่มันเป็นฝันกลางฤดูร้อนที่กำลังจะเป็นจริงในยามที่พายุฝนและพายุการเมืองกำลังโหมกระหน่ำประเทศไทยอย่างไม่ลืมหูลืมตา
หลังพายุฝน ท้องฟ้าสดใสกำลังรออยู่ครับ
อย่างน้อย ผมก็พอจะเล่าให้ลูก ๆ หลาน ๆ ฟังได้ว่า เช้าวันนั้น ผมเฉียดเข้าไปใกล้ประวัติศาสตร์มากแล้ว
ผมเคยนั่งคิดว่า ทำอย่างไรเราถึงจะปฏิรูปการเมืองไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมคิดไปถึงซีนาริโอที่น่าจะเป็นไปได้ทางหนึ่งคือ ถ้าเรามองว่าระบบมันดีอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่คน การโละทิ้งนักการเมืองไทยทิ้งเสียหมดแล้วล้างไพ่ใหม่หมดก็เป็นทางออกที่น่าจะลงตัว หนทางที่เป็นไปได้ก็คือไปวางระเบิดรัฐสภาขณะที่รัฐบาลกำลังแถลงนโยบายหรือกำลังถูกซักฟอกโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย
และเวลานั้นก็มาถึงแล้ว การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญโดยการยุบพรรคทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมาตรการขั้นเด็ดขาดโดยการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรมทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปีก็เปรียบเสมือนการวางระเบิดรัฐสภาโดยคนที่เกี่ยวข้องที่ถือว่ามีอำนาจและบทบาทต่อการเมืองไทยปัจจุบันทั้งหลายจะหมดสิทธิ์เล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี มันเกือบเหมือนการตายทั้งเป็นเลยทีเดียว นอกจากนี้ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง, สังคม และวัฒนธรรมของไทยครั้งใหญ่ในเรื่องที่ว่า ใครทำผิดก็ต้องได้รับผิด ไม่มีการรอมชอม ซึ่งจะทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
จริง ๆ แล้วถ้าคิดอย่างรอบคอบ มันก็ไม่ค่อยเหมือนการวางระเบิดเท่าไรนัก เพราะคนที่จะไม่โดนตัดสิทธิ์ก็ยังมีอีกมากหน้าหลายตา และทายาทอสูรทั้งหลายก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด อย่างน้อยการเมืองไทยจะอยู่ในภาวะอึมครึม การจะกินรวบละโมบโลบมากก็อาจจะหยุดไปชั่วคราว รอการตกตะกอนให้การเมืองเข้าสู่สมดุลและผลประโยชน์ลงตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่ในเวลานี้ผลประโยชน์ของประชาชนจะมีส่วนแบ่งสูงที่สุด
ผมพยายามคิดวิเคราะห์ทางออกหลาย ๆ ทางที่เป็นไปได้แล้ว นี่คือทางออกที่ดีที่สุด อาจจะเจ็บปวด แต่หายชะงัก การรักษาบางครั้งต้องอาศัยยาขม แต่เมื่อดื่มมันเข้าไปแล้ว มันหายได้จริง ๆ
ผมอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปเสียหน่อย แต่มันเป็นฝันกลางฤดูร้อนที่กำลังจะเป็นจริงในยามที่พายุฝนและพายุการเมืองกำลังโหมกระหน่ำประเทศไทยอย่างไม่ลืมหูลืมตา
หลังพายุฝน ท้องฟ้าสดใสกำลังรออยู่ครับ
ป.ล. ขอบคุณสำหรับภาพจากเว็บไซท์ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (http://www2.nesac.go.th/nesac/th/webboard/answer.php?GroupID=3&PageShow=1&QID=90&TopView=)
๒ ความคิดเห็น:
อ่าว ทำไมคุยกันอยู่ดีๆ กลายเป็นพวกหัวรุนแรงไปซะได้
ในโลกแห่งความเป็นจริงเราคงไม่สามารถล้างไพ่ได้ง่ายๆ เหมือนในบ่อน (ที่พี่ชอบไป) แต่พลังศรัทธาของมนุษย์ที่เชื่อและทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของมวลชน
จะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ ประชาชนตัวเล็กๆ 1 เสียงอย่างเรา จะทำอะไรได้บ้างละเนี่ย...
ศาสนากับการเมือง เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้จักกัน ทะเลาะกันมานักต่อนักแล้ว...
ฉะนั้น ผมขอไม่ออกความคิดเห็นประเด็นนี้ แม้สุดท้ายแล้ว ผมอาจจะไม่มีความคิดเห็นอะไรเลยก็ตาม
และเมื่อผมออกความคิดเห็นไป พี่อาจจะหันหน้ามาถามผมว่า อันนี้เรื่องจริงใช่ใหม? :-)
เรากลายเป็นคนไร้สมรรถภาพในการเชื่อถือกันตั้งแต่เมื่อใด คงยากที่จะตอบ และเราจะทำอย่างไรให้คนฟังเชื่อถือเราบ้าง อืม... ก็คงตอบยากเช่นกัน
แต่ผมก็พอใจในการพูดลักษณะกึ่งยิงกึ่งผ่าน ให้คนรับบอล(สาร) งงเล่นนะ อิอิ ;-)
แสดงความคิดเห็น